1st Time เรียนชิบาริที่ญี่ปุ่น (Day 3)


ตั้งแต่รู้จักชิบาริมา พอถึงจุดหนึ่งก็เกิดคำถามกับตัวเองว่าจะไปต่อยังไงดี

ตอนแรกเรามองชิบาริคือเรียนรู้วิธีการมัด หัดเดินเชือก มัดให้ได้ตามรูปแบบ สร้างลวดลาย ไปจนถึงวิธีการมัดลอย และอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้เราเรียกว่า “ทักษะ (skill)” ซึ่งถ้าเป็นทักษะก็จะสามารถฝึกฝนให้ชำนาญได้ แต่พอเราชำนาญแล้ว กลับรู้สึกว่าไม่ใช่ คนที่เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ เช่น วาดรูป ทำอาหาร ฯลฯ น่าจะจำความรู้สึกเวลาที่ร่างกายเริ่มทำตามที่ฝึกได้โดยไม่ฝืน ไม่ต้องคิดซับซ้อนว่าทำอะไรก่อนหรือหลัง กระบวนการเป็นยังไง ความรู้สึกตอนนั้นจะบอกได้เลยว่าร่างกายเริ่มซึมซับทักษะนั้นในตัว และเมื่อทำไปเรื่อย ๆ ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ จะสามารถทำได้ชำนาญเหมือนสัญชาติญาณอีกอย่าง (2nd nature) แต่ของเราพอถึงจุดที่เริ่มทำได้สบาย ๆ ความรู้สึกกลับแตกต่าง ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นธรรมชาติอย่างที่คิด เหมือนยังไม่เป็นตัวของตัวเอง

นั่นทำให้เรากลับมาย้อนถามตัวเอง หรือบางทีชิบาริอาจจะไม่ใช่แค่เรื่องวิธีการมัดอย่างเดียว มันอาจจะมีบางสิ่งที่เราขาดไปหรือยังไม่เข้าใจ แต่มันคืออะไรล่ะ? นี่เป็นความสงสัยที่คลุมเครือมาก คือยังไม่รู้เลยล่ะว่าสงสัยเรื่องอะไร ประเด็นไหน คือยังไม่สามารถสกัดออกมาเป็นคำถามที่เหมาะสมได้ แต่ความรู้สึกบอกว่านี่คือปัญหา ไม่สามารถอยู่เฉย ๆ ต้องหาทางแก้ ซึ่งเมื่อไม่รู้ว่าคืออะไร ก็ต้องพยายามทดสอบ ทดลอง ว่าสิ่งที่คิดนั้นใช่หรือไม่ใช่ มันตอบสนองต่อสิ่งที่ค้างคาใจอย่างไร ซึ่งต่อให้พยายามค้นหาคำตอบ ไม่ว่าจากหนังสือ แหล่งความรู้ต่าง ๆ ก็ไม่เจอ แล้วพอนานไป จากที่เป็นความรู้สึกเล็ก ๆ ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ก็ค่อย ๆ ขยายกลายเป็นกลุ่มก้อนความคิดกังวลที่คลุมเคลือ หมกมุ่น ไม่ชัดเจน ซึ่งพอมองย้อนกลับไป การมัดในช่วงนั้นของเราสะท้อนเรื่องนี้ออกมาทีเดียว

ป้ายบอกว่า Ubu อยู่ชั้น 5 นะ

ตารางวันนี้ ไป UBU บาร์เล็ก ๆ ที่ชินจูกุแต่มีเรื่องราวเยอะมาก บาร์นี้บริหารโดยป้าโยยกับชิโกนาวะ บิงโก (Shigonawa Bingo) ซึ่งเป็นคนมัดที่เก่งมากอีกคน เคยเห็นบาร์นี้ผ่านทวิตเตอร์หลายครั้ง เป็นเหมือนจุดสังสรรของคนที่สนใจชิบาริ ตอนไปถึงประมาณทุ่มนึง มีเรียนมัดเบื้องต้นกัน ซึ่งสอนกันทุกเย็นวันเสาร์โดย Yuuta เข้าไปแบบงงกันทุกคน เรางงไม่เจอป้าโยย คนในงานก็งงเหมือนกันว่าคนต่างชาติมาทำอะไรกัน หลงทางมารึเปล่าประมาณนั้น พอบอกว่ามาเจอป้า แต่ป้ายังไม่มา เลยนั่งรอ นี่ถ้าไม่มี google translate กับเนตมาอยู่ที่ญี่ปุ่นน่าจะลำบาก เพราะทุกคนพูดญี่ปุ่นหมด ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ความรู้ภาษาญี่ปุ่นของเราเป็นศูนย์เลย

เดินเข้ามาข้างในจะเห็นป้ายบอก MItsu อยู่ชั้น 4 Ubu อยู่ชั้น 5

นั่งรอได้สักพัก ป้าก็มา ก็ทักทายแกพร้อมเอาของฝากให้ จากนั้นก็จ่ายตังค์ค่าเข้า แล้วก็นั่งรอให้คลาสจบ ระหว่างนั้นก็บอกถึงงานแสดงภาพของไมเนอร์ในเดือน มิ.ย. ให้ป้ารู้ อยากให้แกรู้ว่าลูกศิษย์สองคนนี้มีทางเดินในชิบาริที่ป้าสามารถภูมิใจได้ พอคลาสจบ ทุกคนก็จับกลุ่มคุยกันหลังเรียนจบ เราเหมือนเป็นคนนอกหน่อย ๆ แล้วป้าก็บอกว่ามัดได้นะ ก็เลยมัดเล่นสนุก ๆ ดู

ตอนมัดไม่รู้ตัว แต่พอเสร็จเงยหน้าขึ้นมากลับกลายเป็นว่าทุกคนสนใจ เข้ามาคุยกันใหญ่ว่ามาจากไหน ยังไง และอีกสารพัด เพิ่งรู้สึกเลยว่าเชือกสามารถเชื่อมผู้คนได้จริง ๆ Yuuta ก็มาถามว่าเรียนจากไหน ก็บอกว่าป้านั่นแหละเป็นคนสอน แกก็ยังทำหน้างง ๆ อาจจะเพราะป้าไม่ได้สอนจริงจังมานาน รวมถึงปัญหาเรื่องสุขภาพด้วย แต่เราก็นับถือว่าแกเป็นอาจารย์คนแรกที่เปิดประสบการณ์ด้านนี้ ยังจำได้้ตอนที่เจอแกครั้งแรก เรามัดไม่เป็นเลย แกเลยสอน TK แล้วบอกว่าอีกสามเดือนจะกลับมา ถ้ายังมัดไม่ได้โดนตีแน่ ตอนนั้นยังขำ ๆ แต่ก็พยายามทำ จนในที่สุดตอนแกกลับมาอีกครั้ง เราก็พอมัดแบบไปวัดไปวาได้

ทักทายมาสคอตประจำร้าน

ที่ Ubu ได้เจอคุณชิโระที่เป็นนางแบบของ อ.คิโนโกะ นั่งคุยกันก็ยังบอกว่าเมื่อวานก็ไปซาลอนนะ เธอบอกว่าไปเหมือนกัน ทำไมไม่เจอกัน อาจจะเพราะไม่ได้มัดเลยไม่ได้เห็นกันนั่นเอง นั่งคุยนั่งเล่นกันได้เห็นอะไรแปลกใหม่หลายอย่าง แต่ที่ตื่นเต้นสุดคือเจอ Kazami Ranki แวะมา คือไม่คิดว่าแกจะมา แกเป็นรุ่นใหญ่ในวงการคนหนึ่งที่บ้านเราอาจจะไม่ค่อยรู้จัก แกเก่งมากและสไตล์แกเป็นเอกลักษณ์เลยทีเดียว นี่ถึงกับเผลออุทานไปว่า Kazami-san แกก็ทำหน้างง ๆ แต่ยิ้มให้ เลยรีบบอกไปว่าจะไปงานแกวันพรุ่งนี้ เราเป็นแอคนี้ในทวิตเตอร์นะ แกก็โอเค ได้เจอแกก่อนแถมได้เห็นแกมัดให้ดูด้วยเป็นเรื่องตื่นเต้นจริง ๆ

ที่นี่เคร่งเรื่องของมึนเมากับการมัดมาก ถ้าใครเริ่มดื่มแล้วไม่ว่าจะน้อยหรือมาก จะไม่มีการมัดไม่ว่าจะคนมัดหรือถูกมัด เป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ แต่ยังแกล้งกันได้นะ (ฮา)

บรรยากาศยิ่งดึกยิ่งคึกคัก นั่งคุยนั่งเล่นกันไปจนเกือบห้าทุ่มสี่สิบห้า เอะใจเรื่องรถไฟเลยถามว่ารถไฟที่นี่ปิดกี่โมง “ปิดเที่ยงคืน Ubu ก็จะปิดแล้ว” มีใครบางคนตอบ เท่านั้นแหละรีบเก็บของรีบวิ่งไปที่สถานีเลย ในแสงสีเสียงของยามค่ำคืนที่ชินจูกุ night is still young จะเห็นคนวิ่งผ่านบรรดาคนที่รอเข้าผับ จ้ำอ้าวไปขึ้นรถไฟทันก่อนสถานีปิดพอดี โชคดีที่ขึ้นรถไฟต่อเดียวก็ถึงที่พัก แต่คนอื่นที่ต่อรถไฟหลายขบวนน่าจะเหนื่อยอยู่